นยุคที่เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา การทำงานและการใช้ชีวิตของมนุษย์ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เราเริ่มเห็นการแบ่งงานที่เฉพาะทางมากขึ้นและการใช้เทคโนโลยีในการช่วยคิดและวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้หลายคนสงสัยว่า มนุษย์จะต้องพัฒนาสมองให้ซับซ้อนขึ้นเพื่อรองรับสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้หรือไม่ แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ อันที่จริง สมองมนุษย์ก็เล็กลงเรื่อยๆนะ
1 แสนปีที่ผ่านมา สมองมนุษย์ก็เล็กลงไป 13%
สมัยก่อนตอนประชากรไม่เยอะ คนๆนึงต้องเป็นทุกอย่าง นายพราน หมอ พ่อครัว นักพฤษศาสตร์ นักวนศาสตร์ ทหาร เศรษฐศาสตร์ วิศวกร เป็นทุกๆอย่างในคนๆเดียว
พอมนุษย์เริ่มรวมกลุ่มสังคม มีประชากรมากขึ้น ก็เริ่มแบ่งงานกันทำ ในคนๆนึง เริ่มทำหน้าที่เฉพาะของตัวเอง อย่างเมื่อสัก 4 ร้อยปีที่แล้ว หมอ ผู้พิพากษา นักบวช นักการเมือง นักจิตวิทยา ยังรวมอยู่ในคนๆเดียวกันอยู่เลย ส่วน หมอ ทันตะ เภสัช ก็พึ่งแยกออกจากกันเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้วนี้เอง ก่อนหน้านี้ก็รวมอยู่ในคนๆเดียว
จะเห็นได้ว่า ยิ่งเวลาผ่านไป เรายิ่งทำอะไรได้น้อยลง แต่เฉพาะทางมากขึ้น สอดคล้องกับสมองที่เล็กลงเรื่อยๆ
หรือเมื่อสัก 30 ปีที่แล้ว เรายังต้องจำเบอร์โทรศัพท์ แผนที่เอง ก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์ มือถือ และอินเตอร์เน็ต จะมาจำแทนเรา จนตอนนี้เรานึกภาพไม่ออกแล้วว่าถ้าไม่มีของพวกนี้ เราจะจำมันได้ยังไง ทั้งๆที่ครั้งนึงเราเคยจำได้สบายมาก แต่มันก็ช่วยให้เราไม่ได้ต้องจำอะไรเยอะแยะ แล้วมีเวลาไปโฟกัสที่การคิดวิเคราะห์แทน
พอ AI เข้ามา การคิดวิเคราะห์ก็ไม่ต้องทำเองแล้ว มี AI ทำให้แทน เราก็มีเวลาไปทำงานเฉพาะอย่างที่ยิบย่อยขึ้นอีกต่อไป
แต่ความท้าทายอย่างนึงคือ ที่ผ่านมา เราทำงานเฉพาะทางได้มากขึ้น แต่ประชากรก็เพิ่มขึ้นตลอดเช่นเดียวกัน หรือก็คือ ในทุกๆบทบาทที่เราทิ้งไปเพื่อทำงานเฉพาะทางมากขึ้น มีคนมาทำด้านอื่นๆแทนเราเสมอ (และในวันนี้ มันเริ่มไม่ใช่คน แต่เป็นคอมพิวเตอร์และ AI) ซึ่งความขัดแย้งมันจะอยู่ที่ตรงนี้ ยกตัวอย่าง สมัยก่อน ไม่มีคนทำแก้ว เสื้อผ้า โต๊ะ เก้าอี้ เมล็ดพันธุ์มาขาย เราก็ต้องทำเป็นเองให้หมด พอคนเริ่มเยอะขึ้น การทำแก้วอย่างเดียวแล้วเอาไปขาย เริ่มเป็นเรื่องที่คุ้มค่า เพราะเราทำอย่างเดียว เราก็ชำนาญ เราก็ทำได้ดีกว่าคนอื่นที่ทำเอง แล้วพอมีคนเยอะๆ เราทำอย่างเดียวแล้วไปขาย มันก็ทำให้เรามีเงินมากพอจะไปซื้อโต๊ะ เก้าอี้ ที่คนอื่นขายเหมือนกัน คนก็ทำงานเฉพาะทางมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็มีตลาดมารองรับความเฉพาะทางนั้นเรื่อยๆเหมือนกัน เช่น คนทำโต๊ะ ตอนแรกๆ เค้าต้องเป็นทั้งคนตัดไม้ ช่างไม้ นักออกแนบ นักการตลาด นักการขาย แต่พอมีคนทำโต๊ะเยอะขึ้นมากพอ ทำงานเป็นแค่คนตัดไม้อย่างเดียวก็มีตลาดรองรับใหญ่พอที่จะให้ทำงานนั้นงานเดียวแล้วอยู่ได้
แต่ในโลกที่คอมพิวเตอร์และ AI มาทำแทนนั้นไม่ใช่ เพราะมันทำให้เราทำงานเฉพาะด้านได้มากและง่ายขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่การที่คนน้อยลง ทำให้ตลาดที่จะมารองรับความเฉพาะด้านนั้นไม่โตตามไปด้วย
คำตอบของอนาคตอาจเป็นการที่ เราก็มีงานเฉพาะด้านมากขึ้นนั่นแหละ แต่เราไม่สามารถทิ้งงานเฉพาะด้านเดิม เพื่อไปทำงานเฉพาะด้านแบบใหม่ที่ลึกลงไปได้ เพราะตลาดไม่ได้โตเพื่อจะรองรับ ยกตัวอย่าง ปัจจุบัน นักการตลาดดิจิตลอดจะแบ่งเป็นประมาณ 9 สายงาน ดังนี้
- SEO
- SEM
- Content Marketing
- Social Media
- Email Marketing
- PPC Specialist
- Affiliate Marketing
- Influencer Marketing
- Data Analyst
พอ AI เข้ามา จะเป็นตัวเร่งให้แต่ละสายงานของ digital marketing มีความเฉพาะทางมากขึ้น เช่น งาน content ก็จะมีไปเฉพาะด้านทางด้านการออกแบบ, กราฟฟิค, Strategic Planner, influencer agent หรือ งานด้าน social media ก็จะมีไปเฉพาะทางด้าน facebook, line, tiktok, ig แต่เราอาจไม่สามารถไปเฉพาะทางได้ด้านเดียวแบบแต่ก่อน เพราะตลาดไม่ใหญ่พอที่จะรองรับ (คนน้อยลง = ฝั่ง demand ไม่โตไปด้วย) เราเลยต้องเป็นเฉพาะทางหลายด้านมากขึ้น แต่อยู่ในคนๆเดียว
หรือบางสายงาน ก็อาจยุบรวมกัน เช่น Web developer, UX/UI, content การเข้ามาถึงของ AI ก็ทำให้งานพวกนี้ไม่ต้องแยกกันทำ แต่คนๆเดียวก็ทำงานเฉพาะด้านได้เหมือน 3 คน ทำด้วยกัน
อย่างไรก็ดี ส่วนตัวเชื่อว่า การเข้ามาของ AI จะทำให้เกิด scenario ได้ 4 แบบ
- เข้ามาเป็นผู้ช่วย การเข้ามาเป็นผู้ช่วยจะทำให้คนๆนึง มี productivity เพิ่มจากเดิมเป็น 10 เท่า ผลคือคนที่เชี่ยวชาญในระดับ senior ไม่จำเป็นต้องใช้เด็กเพื่อมาช่วยงานอีกต่อไป เพราะมี AI ช่วยแทน ผลคือ ในสายงานนั้นตำแหน่ง junior จะหายไป เราเริ่มเห็นภาพนี้แล้วในวงการของ dev หรือในวงการกฎหมาย ที่ไม่ต้องใช้นักกฎหมายเด็กๆมาช่วยสรุป สำนวน และฎีกาให้อีกต่อไป
- AI มาทำให้งานนั้นมีมากขึ้น เหตุการณ์ทำนองนี้ เคยเกิดกับนวัตกรรมการบินที่มีชื่อว่า สายการบิน low cost หรือการขนส่งที่ทำให้ขนคนจำนวนมากต่อเที่ยวได้มากกว่าเดิม คือการมีขนคนได้มากและถูก แทนที่จะทำให้งานด้านนั้นน้อยลง แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้ามคืองานกลับเยอะขึ้น เพราะที่ผ่านมา มีความต้องการ แต่คนไม่สามารถใช้ได้เพราะแพงเกินไป พอมันถูกลง คนก็ใช้เยอะจึ้น งานก็เยอะขึ้น การเข้ามาของ AI ก็เช่นกัน เพราะจะทำให้ต้นทุนสินค้าหรือบริการนั้นถูกลง จนคนสามารถใช้ได้ในตลาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ผลคือ งานจะเยอะขึ้น แทนที่จะลดลง
- เกิดสายงานใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่างเช่น prompt engineer
- เข้ามาแทนที่คนในสายงานนั้น อันนี้ตรงไปตรงมา เช่น การถือกำหนดของหลอดไฟ ก็ทำให้ตะเกียงหายไป หรือการเข้ามาของนาฬิกาปลุก ก็ทำให้อาชีพรับจ้างปลุกตามบ้านหายไป AI ก็ทำนองเดียวกัน
Share this: