การอุดช่องว่างในทางกฎหมายแพ่งมีหลักเกณฑ์อย่างไร
หลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4 วรรคสอง บ […]
การตอบข้อสอบบรรยาย อาจไม่ได้มีการเอาตัวบทกฎหมายมาใช้หรือมีก็ได้ เช่น อาจจะถามหลักการของกฎหมาย หรืออาจจะมีหลายประเด็นในข้อเดียว
การตอบแนะนำให้มี ย่อหน้า คือมีส่วนนำ มีเนื้อหา และมีสรุป
ในส่วนของส่วนนำอาจจะไม่ได้จำเป็นหรือซีเรียสมาก แต่ที่เราต้องใส่ใจเลยคือส่วนของเนื้อหา เพราะฉะนั้นเราต้องวางโครงก่อนว่า เราจะตอบกี่ประเด็น แล้วเราก็เรียงลำดับว่าเราพูดประเด็นไหนก่อนหลัง เวลาเขียนแนะนำว่าให้เขียนแต่ละประเด็นหลักหรือประเด็นสำคัญให้เขียนเป็นแต่ละย่อหน้า
ถ้าคำถามถ้ามีตัวบทเกี่ยวข้อง อาจเขียนประกอบไปในการบรรยายก็ได้
พอได้ส่วนเนื้อหาแล้ว ก็เขียนสรุป โดยสรุปสักย่อหน้านึงที่เป็นประเด็นสำคัญ
ข้อสอบแบบมีตุ๊กตาเราจะเจอเยอะที่สุด มันจะมีเรื่องราว แล้วให้เราวินิจฉัยว่าทำได้ไหม ผิดไหม ทำได้หรือไม่ได้ตามบทบัญญัติกฎหมายใด
เทคนิคการเขียนตอบข้อสอบแบบนี้มีแบบนี้ (จำเป็นต้องมีครบทั้ง 3 ส่วน) คือ
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
มาตรา 3 สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
ถ้าคำถามๆว่า สัญญาก่อสร้างที่ทำกับ รพ.รัฐ เป็นระยะเวลา 6 เดือน จัดเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เราก็ต้องมาดูว่า สัญญานั้นเป็นสัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ หรือไม่ เราก็ต้องมาดูว่า “หน่วยงานทางปกครอง” หมายถึงอะไร ซึ่งก็มีระบุไว้ในมาตรา 3 อีกวรรคนึงดังนี้
มาตรา 3 “หน่วยงานทางปกครอง” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครอง
ก็จะเห็นว่า รพ.รัฐ จัดเป็น “หน่วยงานทางปกครอง” ดังนั้นก็ถือว่าเป็นสัญญาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ก็ต้องมาดูต่อว่า มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือไม่
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิต แก่ร่างกาย อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
ดังนั้น ตัวบทนี้มี 3 ประเด็นคือ ผู้ใดจงใจประมาทเลิ่นเล่อ และทำต่อบุคคลอื่นโดนผิดกฎหมาย และทำให้เขาเสียหาย ดังนั้นถ้ามีครบ 3 องค์ประกอบนี้ ก ไก่ ก็เรียกค่าสินไหมทดแทนจาก ข ไข่ ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420
มาตรา 270 ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร์ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด
เช่น ก ไก่ ขอนัดชำระหนี้ แต่ ข ไข่ไม่รับชำระ ก็คือต้องตอบว่า ก ได้ ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้แล้ว แต่ ข ไข่ ไม่รับชำระ ก็ต้องมาดูว่าไม่รับชำระโดยมีมูลเหตุทางกฎหมายหรือไม่ ซึ่ง ข ไข่ ไม่ได้อ้างมูลเหตุอะไร ดังนั้น ข ไข่ ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 270
แต่ถ้าไม่รับชำระหนี้ เพราะ ก ไก่ ขอชำระหนี้ด้วยจักรยานยนต์แทน ข ไข่ จึงไม่รับ ซึ่งกรณีนี้ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ แต่ไม่ใช่หนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะกฎหมายบอกว่าเป็นหนี้อะไร ต้องใช้อย่างนั้น พอใช้เป็นอย่างอื่น เจ้าหนี้มีสิทธิปฏิเสธได้ ดังนั้น เจ้าหนี้สามารถปฏิเสธโดยอ้างมูลเหตุทางกฎหมายได้ แบบนี้เจ้าหนี้ไม่ผิดนัดชำระ
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท
ก็ต้องเขียนว่า ก ไก่ เอาไป ซึ่งคำว่าเอาไป หมายความว่ายังไง แล้วก็บอกว่าที่เอาไปนั้น เป็นทรัพย์ของผู้อื่น แล้วเราก็อธิบายว่าทรัพย์ของผู้อื่น หรือเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยหมายความว่ายังไง แล้วก็ต้องอธิบายคำว่า โดยทุจริต ไว้ด้วย แล้วก็สรุปว่า ดังนั้น ก ไก่ กระทำความผิดฐานลักทรัพย์
คำถาม : คำสั่งทางปกครองกับกฎแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบายมาโดยละเอียด พร้อมยกหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
แนวคำตอบ : มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ได้นิยามความหมายของคำว่า “คำสั่งทางปกครอง” และ “กฎ” ไว้
‘คำสั่งทางปกครอง’ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ
ส่วน ‘กฎ’ หมายความว่า พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
ดังนั้น คำสั่งทางปกครองต้องมีผลบังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกรณีใดกรณีหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งแตกต่างกับกฎ เนื่องจากกฎต้องมีผลบังคับเป็นการทั่วไปโดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกรณีใดกรณีหนึ่งเป็นการเฉพาะ
คําถาม : ระยะเวลาในการอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองสามารถขยายระยะเวลาออกไปได้ในกรณีใดบ้าง จงอธิบายมาโดยละเอียด พร้อมยกหลัก กฎหมายประกอบ
แนวคําตอบ : ระยะเวลาในการอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองสามารถขยายออกไปได้ 2 กรณีด้วยกัน ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ได้แก่
1) กรณีตามมาตรา 40 วรรคสอง ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาโดยผลของกฎหมาย กรณีที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการแจ้งรายละเอียดตาม หลักเกณฑ์ในวรรคหนึ่ง กล่าวคือ ระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง การยื่นคําอุทธรณ์หรือคําโต้แย้ง และระยะเวลาสําหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งไว้ หากไม่มีการแจ้งหลักเกณฑ์ดังกล่าวใหม่และระยะเวลาดังกล่าวสั้นกว่า 1 ปี ให้ขยายระยะเวลาเป็น 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับคําสั่งทางปกครอง
2) กรณีตามมาตรา 66 เป็นการขยายระยะเวลาตามคําขอของคู่กรณี ในกรณีที่มีพฤติการณ์ที่จําเป็นอันเป็นเหตุให้คู่กรณีไม่อาจกระทําการได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด โดยเป็นพฤติการณ์ที่จําเป็นอันมิได้เกิดขึ้นจากความผิดของผู้นั้น
คําถาม : จันทร์จ้างอังคารทําแหวนเพชรหนึ่งวง โดยตกลงกันว่า จันทร์จะเป็นผู้หาเพชรมาให้อังคาร และจะส่งมอบเพชรให้แก่ อังคารภายในกําหนด 1 เดือน นับแต่วันทําสัญญา แต่ปรากฏว่าจันทร์ละเลยไม่นําเพชรมาให้อังคารตามกําหนด ดังนี้ ให้ วินิจฉัยว่า ในกรณีที่จะถือว่าจันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัด อังคารจําเป็นต้องขอปฏิบัติการชําระหนี้ต่อจันทร์ก่อนหรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวค่าตอบ : หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 209 (หลักกฎหมาย)
กรณีตามปัญหา เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ต้องทําการบางอย่างก่อนที่จะให้ลูกหนี้ชําระหนี้ เช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา 208 วรรคสอง เพียงแต่กรณีของมาตรา 209 มีการเพิ่มเติมเวลาให้เจ้าหนี้กระทําการในเวลาที่กําหนดไว้แน่นอน เมื่อเจ้าหนี้ละเลยไม่ทําการ ภายในกําหนดเวลาดังกล่าว คือ การนําเพชรมาส่งมอบให้แก่อังคาร จันทร์ก็ตกเป็นเจ้าหนี้ผิดนัดทันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 209 โดยที่อังคาร (ลูกหนี้) มิต้องดําเนินการใดแต่ประการใด (วินิจฉัย)
ดังนั้น อังคารไม่จําเป็นต้องขอปฏิบัติการชําระหนี้ต่อจันทร์ก่อนแต่ประการใด (สรุป)
ค่าถาม : จันทร์เช่าบ้านของอังคารอยู่ ปรากฏว่าพุธทําละเมิดจับรถยนต์ชนบ้านเช่าได้รับความเสียหายประมาณหนึ่งแสนบาท จันทร์ได้ใช้ค่าซ่อมแซมบ้านจํานวนเงินหนึ่งแสนบาทให้แก่อังคารไป ซึ่งอังคารก็รับไว้ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าจันทร์จะเรียกร้องให้พุธผู้ทําละเมิดรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจํานวนหนึ่งแสนบาทนั้นให้แก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวคําตอบ : หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 227 (หลักกฎหมาย)
กรณีตามปัญหา จันทร์เป็นเพียงผู้เช่าธรรมดา ไม่มีหน้าที่ใดที่จะต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่า กรณีจึงไม่ใช่ ลูกหนี้ตามมาตรา 227 รับช่วงสิทธิไม่เกิด กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในมาตรา 227 จันทร์จะเรียกร้องให้พุธผู้ทําละเมิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจํานวนหนึ่งแสนบาทให้แก่ตนไม่ได้ (วินิจฉัย)
ดังนั้น จันทร์จะเรียกร้องให้พุธผู้ทําละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายให้แก่ตนไม่ได้ (สรุป)
ภาษาพูด: ผู้พูดเผชิญหน้าผู้ฟังอยู่ ย่อมรู้ได้ทันทีว่าผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่ตนพูดดีหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจก็อาจพูดซ้ำได้โดยไม่เสียลีลาของภาษาพูด
ภาษาเขียน: การกล่าวซ้ำในลักษณะที่ใช้พูดทำให้ภาษาเขียนฟุ้งเฟ้อซ้ำซากไม่น่าอ่าน
เวลาทำข้อสอบ นศ. ไม่ควรที่จะใช้ภาษาพูดในการเขียนตอบข้อสอบ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการหักคะแนน แต่ตอนทำงานจริงต้องเอาไปใช้ ดังนั้นฝึกเสียตั้งแต่ตอนนี้ เช่น คดีโจทก์ไม่มีทางขาดอายุความเป็นภาษาพูด แต่ตอนเขียนก็ต้องเขียนว่า คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
ก็คือมันไม่เคยมีการวางมาตรฐานไว้ เราเอามาใช้กันเอง เช่น ป.วิ.อาญา ดังนั้นตอนเขียนตอบข้อสอบ เราไม่ควรเอาอักษรย่อมาใช้ ในการทำงานจริงก็เช่นเดียวกัน บางหน่วยงานก็ย่อไม่เหมือนกัน เช่น บางหน่วยงานย่อ พรก. ว่าพระราชกำหนด บางหน่วยงานย่อ พรก. ว่าพระราชกฤษฎีกา
โวหารกฎหมายไทยที่ดี ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ 6 ประการ
ซึ่งเวลาร่างกฎหมาย เค้าคิดมาแล้ว ทุกคำที่ใส่มาจะมีความสำคัญและมีความหมายเสมอ ดังนั้นเวลาเขียนตอบ พยายามใช้คำที่เขียนอยู่ในตัวบทกฎหมาย เพื่อไม่ให้ความหมายมันดิ้นได้ สั้น และกระชับ
ใช้ถ่อยคำในภาษากฎหมายให้เป็นระเบียบเดียวกันโดยตลอด >>> ถ้าต้องการให้คำมีความหมายอย่างเดียวกัน ควรใช้คำเดิม อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ กฎหมายฉบับเดียวกัน คนละมาตรา เปลี่ยนไปใช้อีกคำก็มี ซึ่งเป็นข้อบกพร่องตอนร่างกฎหมาย
สามารถจูงใจผู้ฟังผู้อ่านให้คล้อยตามได้ >>> เป็นทักษะที่นักกฎหมายควรมี โดยเฉพาะคนที่เป็นทนายความ